ภูมิ The Golden Song เวทีเพลงเพราะ ซีซัน ๔

22 Mar 2023


กระแสทางโลกออนไลน์ เป็นบทพิสูจน์ที่สำคัญของ ภูมิ แก้วฟ้าเจริญ ในโพสต์หน้า Facebook Page ของวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล มีการเข้าถึงมากกว่า ๓๐๐,๐๐๐ คน และการแชร์ออกไปมากกว่า ๒๐๐ แชร์ ยังไม่รวมความคิดเห็นมากกว่า ๑,๐๐๐ ข้อความ ซึ่งทั้งหมดนี้มากที่สุดในรอบหลาย ๆ ปี ของการโพสต์ ๑ ครั้ง เป็นการตอบรับกับศิลปินคนใหม่ที่ชื่อ ภูมิ แก้วฟ้าเจริญ ทำให้เราต้องมาทำความรู้จักกับ ภูมิ แก้วฟ้าเจริญ ให้มากขึ้นถึงมุมมองในด้านดนตรีและอนาคต ในวงการบันเทิง

ความฝันของ “ภูมิ แก้วฟ้าเจริญ”

ความฝันของผม อยากเป็นนักร้องครับ

เพราะอะไรถึงอยากเป็นนักร้อง

ต้องย้อนไปตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ เลยนะครับ ที่บ้านของผมจะเปิดคอนเสิร์ต ในที่นี้ผมหมายถึงเปิดเครื่องเล่นแผ่นวีซีดี แบบวิดีโอด้วยก็มีนะครับ ที่บ้านจะเปิดคอนเสิร์ตพี่เบิร์ด (ธงไชย แมคอินไตย์) ซึ่งสมัยก่อนคอนเสิร์ตพี่เบิร์ดจะมีแบบเบิร์ดเบิร์ดหลาย ๆ ครั้ง ก่อนผมเกิดเสียอีก ซึ่งนั่นแหละเป็นจุดที่ทำให้ผมมีพี่เบิร์ดเป็นไอดอล แล้วก็เลยอยากเป็นนักร้อง พอโตขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง ก็มีรายการ The Star ค้นฟ้าคว้าดาว แล้วผมก็รู้สึกว่าอยากเป็น The Star ดูตั้งแต่ The Star ปีที่ ๒ แล้วก็ดูด้วยว่าเขาพา ๘ คนสุดท้ายไปเรียนร้องเพลงที่ไหน ผมตามไปเรียนที่นั่นเลย เพราะผมอยากเป็น The Star ผมจึงต้องเรียนแบบที่ The Star เขาเรียนกัน

ผมนับวันรอให้อายุผมถึง ๑๕ ปี เพื่อจะไปรายการ The Star ค้นฟ้าคว้าดาว จนได้สมัครตอน The Star ค้นฟ้าคว้าดาว ปี ๑๒ แล้วผมก็ไป

วันนั้นผมอยู่ตั้งแต่ ๖ โมงเช้า เพื่อไปออดิชันรายการ The Star ค้นฟ้าคว้าดาว ปี ๑๒ ตอนนั้นไม่ได้คาดหวัง ซึ่งก็รู้ตัวเองดีว่าคงเป็นไปได้ยาก แต่ในวันนั้นผมไปเก็บประสบการณ์ คือผมรอทั้งวันเพื่อผมจะเข้าไปร้องแค่ครึ่งเพลง แล้วก็กลับบ้าน

รู้ตัวว่าชอบดนตรีตอนไหน

เท่าที่จำความได้ ผมก็ชอบร้องเพลงแล้วนะครับ ก็ตั้งแต่ที่คุณแม่เปิดแบบเบิร์ดเบิร์ดให้ดูให้ฟังเลยก็ว่าได้

ก่อนมาเป็น ภูมิ The Golden Song เวทีเพลงเพราะ ซีซัน ๔

ผมเป็นเด็กที่ประกวดร้องเพลงมาก่อน และผมมีคริสเตียโน โรนัลโด เป็นไอดอล บางคนอาจจะสงสัยว่ามันเกี่ยวข้องกันยังไง ความคิดของผมในตอนนั้น ผมเป็นเด็กประกวด ซึ่งไม่ใช่แบบตอนนี้ แล้วยิ่งในวันนั้นได้ดูสารคดีชีวประวัติของคริสเตียโน โรนัลโด (Cristiano Ronaldo: The World at His Feet) ผมเลยจำ Mindset ความคิดเขามานิดหน่อย ผมเลยมองการร้องเพลงที่ผมทำอยู่ เป็นเหมือนกีฬา พูดไปมันอาจจะไม่ค่อยน่ารักนะครับ แต่ผมต้องเป็นที่ ๑ ให้ได้ ผมจะต้องเก่งที่สุด ในตอนเด็ก มันอาจจะเป็นแนวคิดที่ไม่ถูกต้อง แต่มันผลักดันตัวเองได้มากเลย มันผลักดันให้เราก้าวไปเรื่อย ๆ เวลาผมพัฒนาตัวเอง ผมจะมีเป้าหมายอยู่เสมอ ซึ่งเป้าหมายของผมเป็นบุคคล เวลาผมเห็นคนนี้เก่ง ผมจะต้องเก่งกว่าเป้าหมายของผมให้ได้ แล้วผมจะหาเป้าหมายต่อไปเรื่อย ๆ เมื่อผมคิดไปเองว่าผมผ่านคนนั้นมาแล้ว แล้วผมก็รู้ว่าใครที่ผมเก่งกว่าไม่ได้ หรือยังไม่ถึงเวลา

พอผมไม่ได้เป็นเด็กประกวดแล้ว การเป็นเด็กประกวดมันจะโฟกัสแต่การประกวด ร้องเพลงมันคือการแข่งขัน แต่พอผมเลิกประกวดในวันที่ผมเสียงแตก แล้วผมก็เปิดรับความเป็นดนตรีมากขึ้น ที่ไม่ใช่แค่การประกวด วันนั้นเหมือนเป็นกบในกะลา พอผมออกมาจากตรงนั้นแล้ว เราไม่สามารถพูดได้ว่าเราเก่งกว่าใคร ความเก่งแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน ในวันนี้มันคือการหักล้างความคิดในสมัยเด็กของผมไปโดยสิ้นเชิงเลย

วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล

ผมเรียนสายวิทย์ที่สวนกุหลาบ ผมชอบชีววิทยา ผมชอบตรรกะความเป็นวิทย์นะ แต่ใจผมมันถนัดดนตรี ผมไม่เคยดู Seasons Change เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย เหมือนคนอื่น ๆ แล้วมาเรียนที่นี่เลย แต่ในความคิดของผม วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล มันดีที่สุดแล้วสำหรับผม ถ้าผมจะเรียนดนตรี

ธุรกิจดนตรี

ผมมองอาชีพทางด้านดนตรีว่า มันก็ขึ้นอยู่กับการได้รับโอกาสด้วยส่วนหนึ่ง การไขว่คว้าหาโอกาสด้วยส่วนหนึ่ง โอกาสมันมาในเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น มันมาน้อยมากสำหรับบางคน หรืออาจจะไม่มาเลยก็ได้ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน เรื่องของโอกาสนะครับ ผมเลยมองว่าถ้ามันไม่แน่นอน และถ้าเราเป็นหนึ่งในคนที่ไม่สามารถคว้าโอกาสนั้นไว้ได้ แล้วเราจะเลี้ยงชีพด้วยอะไร ผมเลยมองว่าธุรกิจดนตรีเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับผมนะ ถึงแม้ว่าถ้าเราคว้าโอกาสไว้ได้ มันจะเป็นเรื่องที่ดี มันเป็นเรื่องที่เราอยากได้มัน แต่ถ้าเกิดเราไม่ได้รับโอกาสตรงนั้น เรายังมีความรู้ทางด้านธุรกิจพื้นฐานที่จะนำไปปรับใช้กับอะไรก็ได้ ไม่ทำให้เราอดอยากแน่ ๆ ครับ

ขับร้องละครเพลง

ด้วยความที่วิชาเอกขับร้องละครเพลงประกอบไปด้วย ๓ แกนหลัก ๆ ร้อง การแสดง แล้วก็เต้น ซึ่งผมอยากเรียนการแสดง การแสดงมันเปลี่ยนมุมมองการใช้ชีวิตเหมือนกันนะ เมื่อก่อนผมไม่เข้าใจตัวเองเลย เมื่อก่อนผมต้องการแบบนี้ ผมอยากทำแบบนี้ แต่ผมไม่เคยมองลึกกลับมาว่าทำไมผมต้องการแบบนั้น ทำไมผมถึงแสดงกิริยาแบบนั้นออกมา มันทำให้เรากลับมาเข้าใจตัวเองและเข้าใจคนอื่นด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญในการอยู่ร่วมกันในสังคม การเข้าใจคนอื่น มี Empathy กับคนอื่นนะครับ มันเป็นสิ่งที่ดีมากในการเรียนการแสดง ก็เลยเลือกเรียนเอกขับร้องละครเพลง

ภูมิ The Golden Song เวทีเพลงเพราะ ซีซัน ๔

ผมจะเล่าเรื่องจริง ๆ ให้ฟังเลยนะครับ ผมนะเรียนกับครูคนหนึ่งชื่อครูพิช พัทธ์นิธาน ศรีเอี่ยม ก็คือเขาเคยมาสอนที่มหิดลด้วย เขาเคยมาเป็นครูพิเศษที่นี่ ผมเรียนกับครูพิชมาตั้งแต่ ป.๑ เลย จนถึงทุกวันนี้ผมก็ยังเรียนกับครูพิชอยู่ ซึ่งครูพิชเคยไปรายการ The Golden Song เวทีเพลงเพราะ ซีซัน ๒ เขาก็เข้าไปรู้จักรายการ และเขาก็บอกผมว่ารายการนี้เหมาะกับภูมิมาก ไม่รู้เห็นแววอะไรของเขานะครับ ผมก็ร้องเพลงอาร์แอนด์บี ร้องสตริงของผมอยู่ ผมก็ไม่เข้าใจ เขาบอกให้ไปซีซัน ๓ ผมก็ดื้อไม่ไป “ครูพิช ผมไม่ได้ร้องลูกกรุง” ผมก็บอกครูเขาไปแบบนั้น จนมาซีซัน ๔ นี่แหละ ก็มาบอกผมอีกว่า “ภูมิ…ไปเถอะ” และในช่วงเวลานั้นก็มีการประกาศออดิชันผ่าน Facebook และทางช่อง ONE31 ด้วย ครูพิชมาแล้วหนึ่ง อาม่าเห็นโฆษณา อาม่ามาอีกหนึ่ง เรียบร้อยเลยครับ แล้วช่วงนั้นมันว่างพอดีด้วย เพิ่งจบละครเวทีที่วิทยาลัย ผมก็เลยส่งคลิปไป เพราะตอนนั้นเขาให้ส่งทางออนไลน์ ร้องเมโลดีผิดด้วยนะครับสำหรับคลิปที่ส่งไป ทีมงานมาบอกทีหลังตอนเข้ารอบไปแล้ว แต่เหมือนทีมงานเห็นอะไรสักอย่างในตัวผม ก็เลยได้เข้ามาสู่รอบออดิชันอย่างที่ทุกคนได้เห็น

“ภูมิ ฉันชอบเธอ เธอทำลงไปได้ยังไง เธอเก่งมากเลย”

คำพูดของกบ สุวนันท์ คงยิ่ง หลังจากภูมิร้องเพลงทำบุญด้วยอะไร (ธานินทร์ อินทรเทพ) ในรายการ The Golden Song เวทีเพลงเพราะ ซีซัน ๔ ในการแข่งขันรอบแรก

GOLDEN VOICE จากพี่กบ สุวนันท์ คงยิ่ง เปลี่ยนชีวิต

พูดตามตรงเลยนะครับ ตอนนั้นผมยังไม่เข้าใจว่า Golden Voice คืออะไร ไม่รู้ด้วยว่ารอบแรกจะมีปุ่มสีเขียว ๆ ให้กรรมการกด กรรมการต้องกด ๓ คน ภายในเวลา ๙๐ วินาที และผมก็ไม่ได้สนใจกรรมการด้วยว่ากรรมการมีปุ่มอยู่ข้างหน้าแล้วเขาจะกดอะไรแบบนี้ ผมร้องเพลงให้กรรมการฟัง ผมมองหน้ากรรมการ ผมมองข้ามปุ่มไปเลยครับ ผมไม่รู้ตัวเหมือนกัน ผมมารู้อีกทีตอนที่ดูทีวีที่ออนแอร์แล้ว ดูคลิปตัวเอง และแน่นอนว่าขนาดปุ่มเขียว ๆ ผมยังไม่รู้ แล้วปุ่ม Golden Voice ผมจะไปรู้อะไร จังหวะที่พี่กบ (สุวนันท์ คงยิ่ง) กดปุ่ม Golden Voice ในรายการมันไม่ได้มีเสียงเอฟเฟกต์เหมือนที่ทุกคนได้ดูในทีวีนะครับ แต่ในเวลานั้น ด้วยแสงสีทองของเวที ผมก็ระลึกได้ว่ามันน่าจะเหมือน Golden Buzzer ของ Thailand’s Got Talent ล่ะมั้ง และผมก็เพิ่งมาเข้าใจทีหลังว่ามันเป็น Fast Track และกรรมการหนึ่งคนกดได้ ๑ ครั้งต่อ ๑ ซีซัน

หุ่นไล่กา

ผมประทับใจเพลงนี้ที่สุดในการแข่งขัน เพราะมันเป็นตัวตนของผมที่สุดแล้ว เป็นเพลงที่ผมได้ออกไอเดียในโชว์ ทีมงานก็จะบอกแค่บล็อกกิงคร่าว ๆ และผมก็เสนอไอเดียต่าง ๆ เพื่อให้ทีมงานได้ Approve เช่น การโยก การเต้น การวิ่งไปหาพร็อปหุ่นไล่กา ตามที่ทุกคนได้เห็นในโชว์ มันเป็นไอเดียของผมที่ผมได้ใส่ความเป็นตัวตนของผมลงไปในเพลง

มีอะไรจะบอกกับแฟนคลับไหม

อยากขอบคุณที่ช่วยเชียร์และคอยให้กำลังใจภูมิมาตลอด ศิลปินทุกคนอยู่ได้ด้วยแฟนคลับ อยู่ได้ด้วยการให้กำลังใจ ให้การสนับสนุนตัวศิลปิน ผมก็เป็นคนหนึ่งในนั้น ผมก็ต้องการการซัปพอร์ตไปเรื่อย ๆ แม้ว่าจะจบรายการ The Golden Song เวทีเพลงเพราะ ซีซัน ๔ ไปแล้ว ผมก็จะผลิตผลงานออกมาให้ทุกคนได้ติดตามไปเรื่อย ๆ นะครับ เป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ

The Door to your stage คำว่า The Door to your stage มันคือเรื่องจริง คือผมมองว่า วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล คือผู้คน (เหมือนกับแอสการ์ดในภาพยนตร์ของมาร์เวลเลยครับ) ที่ทุกคนช่วยผลักดันกัน ด้วย Passion ที่เต็มเปี่ยมจริง ๆ ที่อื่นจะหาได้หรือเปล่าไม่แน่ใจ แต่ที่วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล คือประตูสำคัญที่จะพัฒนาความก้าวหน้าของตัวเองไปในเส้นทางสายดนตรีจริง ๆ ครับ

[MUSIC JOURNAL Volume 27 No. 11 | July 2022]

Attawit Sittirak

เจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดและประชาสัมพันธ์ วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล