เอินเอิน ฟาติมา เดชะวลีกุล

22 Mar 2023


เอินเอิน ฟาติมา เดชะวลีกุล สาวน้อยมหัศจรรย์ วัย ๑๗ ปี ที่มีความสามารถทั้งร้อง เต้น และการแสดง เธอเป็น ๑ ใน ๘ คนสุดท้ายของรายการประกวดร้องเพลงชื่อดัง (The Star Idol) ของทางช่อง ONE31 เอินเอินถูกจับตามองตั้งแต่รอบแรกของการแข่งขันในรายการ The Star Idol เพราะเธอเดินออกมาพร้อมกับกีตาร์คู่ใจในการแสดงความสามารถให้คณะกรรมการในรอบแรกของการแข่งขันจนผ่านเข้ามาเป็น ๘ คนสุดท้าย

“การเรียนเร็วในการสอบเทียบด้วยอายุที่น้อยกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันทำให้เสียโอกาสในการใช้ชีวิตมัธยมศึกษาตอนปลาย แต่ก็แลกมากับการเรียนจบก่อนเพื่อนรุ่นเดียวกัน”

เอินเอิน ฟาติมา เดชะวลีกุล

หนูชอบวงการบันเทิงมาตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว เพราะว่าตอนหนูเด็ก ๆ จะมีละครเรื่องหนึ่งที่พี่ชมพู่ (อารยา เอ ฮาร์เก็ต) แสดง ต้มยำลำซิ่ง เรื่องนั้นเป็นเรื่องที่จุดประกายให้หนูอยากเป็นนักแสดง แล้วหนูก็อยากเห็นตัวเองในทีวีแบบพี่ชมพู่บ้าง ตอนเข้ามาเดอะสตาร์ไม่ได้คิดอยากจะเป็นนักร้องหรือศิลปิน แค่อยากให้ผู้ใหญ่เขาเห็นเฉย ๆ เหมือนเป็นสะพานเชื่อมเรากับการแสดง ก็ไม่คิดว่าจะเข้ามาเป็น ๘ คนสุดท้ายเหมือนกัน ตอนนั้นหนูดีใจมาก

ถ้าไม่ได้เป็นแฟนคลับจริง ๆ อาจจะไม่รู้ว่า เอินเอิน ฟาติมา เคยไปเรียนที่ต่างประเทศก่อนที่จะมาเรียนที่วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล

การศึกษาที่ต่างประเทศ

บอกตามตรง ในวันนั้นหนูไม่ได้อยากไปเลยค่ะ คือครอบครัวหนูมีพี่น้องกันทั้งหมด ๔ คน หนูเป็นคนสุดท้อง พี่ชายคนโตไปเรียนโรงเรียนประจำที่อินเดียแล้วบอกว่ามันดีมาก แม่ก็เลยส่งต่อ ๆ ให้ลูกทุกคนไปเรียนที่อินเดียกันหมดเลย หลังจากกลับมาก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นกันหมด อย่างหนูก่อนไป หนูทำอะไรเองไม่ได้เลย ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง งอแง เหมือนทุกคนต้องฟังเรา แต่พอไปแล้ว เราก็ได้เรียนรู้ ได้อยู่กับสังคมมากขึ้น ต้องอยู่กับเพื่อนให้ได้ ห้ามทะเลาะ แล้วที่อินเดียเขาให้ดูแลตัวเองเยอะพอสมควร มีกฎระเบียบเยอะด้วย

ไปเรียนที่ประเทศอินเดียหลายปี แสดงว่าพูดภาษาอินเดียได้ด้วยใช่ไหม

ไม่ได้ ไม่ได้ โรงเรียนไม่ให้พูดอินเดียเลย ไม่ให้พูดภาษาอื่นเลย เขาไม่ให้พูดเลยถ้าพูดโดนเรียกเข้าห้องปกครอง (ทำไมเป็นงั้นล่ะ – ทีมงานถามด้วยความสงสัย) เพราะไม่อย่างนั้นถ้าคนอินเดียมาอยู่ด้วยกันเขาก็จะพูดแต่ภาษาของเขาเอง ทางโรงเรียนก็จะให้พูดแค่ภาษาอังกฤษเท่านั้น แล้วการออกไปเที่ยวนอกโรงเรียนเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย ขนาดหนูอยู่มา ๒ ปี ทัชมาฮาลหนูยังไม่เคยไปเลย

มัธยมปลายที่นิวซีแลนด์

พอไปที่นิวซีแลนด์สังคมก็เปลี่ยน ตอนแรกไม่มีเพื่อนเลย แม้ว่าจะพูดภาษาอังกฤษได้ แต่เขาฟังสำเนียงเราไม่ออก เพราะหนูติดสำเนียงอินเดียไปแล้ว จริง ๆ ถ้าให้หนูพูดถึงความแตกต่างระหว่าง ๒ ประเทศนี้ ตอนอยู่ที่อินเดียไปตอนแรกคือเพื่อนเข้ามาหาเรา แต่เราไม่อยากคุยเท่าไหร่ พอไปอยู่นิวซีแลนด์ เราอยากคุยมาก แต่เพื่อน ๆ เขาไม่เข้ามาหาเรา แล้วเราก็ไม่ค่อยเข้าหาคนอื่นก่อน ทำให้ตอนไปอยู่นิวซีแลนด์เราต้องปรับตัวเอง เราต้องเปลี่ยนตัวเองเยอะมาก ในเรื่องคำพูดด้วย เหมือนเราพูดนิดนึงอะไรก็แล้วแต่ คนไทยอาจไม่คิด แต่คนที่นั่นเขาอาจบอกว่าเรามารยาทไม่ดีก็ได้ หนูก็ได้พัฒนาตัวเองด้วยจากการอยู่ที่นี่

The Star Idol

ย้อนไปประมาณประถมศึกษาปีที่ ๑-๒ ตอนที่เขามีการแข่งขันรายการเดอะสตาร์ พ่อจะพาดูทุกซีซันเลย ที่จำความได้คือเดอะสตาร์ ๑๒ ตอนนั้นรายการดังมาก ๆ หนูก็เลยบอกพ่อว่า ถ้าหนูได้นามสกุลเดอะสตาร์มาแบบนี้ พ่อจะภูมิใจไหม พ่อก็ตอบหนูว่า โห ถ้าได้มานะ จะภูมิใจมาก ๆ หนูก็เลยอยากได้นามสกุลเดอะสตาร์ (เพราะอย่างนั้นเราก็ตั้งเป้าหมายเลยไหมว่าต้องได้เข้าไปเป็น ๘ คนสุดท้ายเพื่อให้ได้นามสกุลเดอะสตาร์มา – ทีมงานถาม) คือหนูไม่คิดว่าจะเข้าได้อยู่แล้ว แต่หนูคิดว่ามันคือ เดอะสตาร์ ไอดอล มันก็น่าจะทำให้หนูเข้าไปอยู่ตรงนั้นได้

เอินเอิน เธอเกิดมาเพื่อเป็น “ไอดอล”

          หนูเห็น Thumbnail คลิปแรกของหนูในรายการ The Star Idol แล้วหนูก็ทราบว่ามีฉายาของหนูว่า เอินเอิน ฟาติมา ฟ้าประทาน พี่ชายหนูยังแซวอยู่เลยว่า ฟ้าประทาน ประทานโทษหรือเปล่า หนูบอกได้เลยนะว่าหนูไม่เคยคิดว่าตัวเองเก่ง สวย หรือน่ารักเลย จะเป็นคนชอบมองแต่ข้อด้อยของตัวเอง ไม่รู้เป็นอะไร ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง แต่ที่เขาเรียกกันว่าไอดอลเนี่ย จริง ๆ ก็อยากจะเป็นแบบอย่างให้น้อง ๆ ได้ จะพยายามพัฒนาตัวเองให้ได้มากที่สุด เพราะว่าถ้าอยากเป็นแบบอย่างให้น้อง ๆ ตัวเองก็ต้องดีก่อน ไม่ใช่แค่สอนน้อง ๆ ให้ทำแบบนี้ แต่ตัวเราเองทำไม่ได้ เรื่องที่หนูชอบมองข้อด้อยของตัวเอง หนูจะมองมันแล้วเอาไปพัฒนาให้ตัวเองเก่งขึ้น

ความประทับใจในการแข่งขันในรายการ The Star Idol

ประทับใจที่สุดก็เป็นเพลงเด็ด (PiXXie) เพลงใกล้ (scrubb) ก็ประทับใจในไลน์กีตาร์

ความคิดเห็นของกรรมการในรายการ The Star Idol ที่เราประทับใจที่สุด

พี่ลิเดีย ศรัณย์รัชต์ ดีน เลยค่ะ ๑ ในกรรมการของ The Star Idol ได้พูดกับหนูในรายการว่า “เป็นคนที่ Complete มาก ๆ ค่ะ แบบ The Hole Packet อยู่ในคนคนเดียว รู้สึกว่าเป็นคนที่ Born to be คือเกิดมาเพื่อเป็นสิ่งสิ่งนี้ เป็น Musical Genius ที่ร้องเพลงก็ได้ เล่นดนตรีก็เก่ง แล้วก็ดึงดูดคนดูได้ตั้งแต่วินาทีแรกจนวินาทีสุดท้าย”

การร่วมโชว์กับ บี้ สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว ในรายการ The Star Idol

          หนูชอบพี่บี้อยู่แล้วด้วย ตอนเด็ก ๆ หนูไปเกาะเวทีคอนเสิร์ตที่อุบลราชธานีดูพี่บี้ อยากให้เขาจับมือ อยากให้เขาเห็นเรา แล้วเขาก็จับมือเรานะในวันนั้น และก็ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะได้มาร่วมโชว์บนเวทีเดียวกัน ได้ร้องกับพี่บี้ตอนนั้นหนูคิดว่ามันที่สุดแล้ว ตอนแรกหนูคิดว่าพี่บี้จะมาวันจริงเลย แต่เขาก็มาเซอร์ไพรส์หนูในวันที่ซ้อม ความเป็น Superstar เขาไม่จำเป็นต้องทำเพื่อเด็กคนหนึ่งขนาดนี้ก็ได้ เขาเทคแคร์ทุกคน เขาเห็นใจทุกคนเลย แล้วพี่บี้ก็เข้ามาชวนคุย เล่นตลกให้หนู คือเวลาเขาหัวเราะ เป็นการหัวเราะที่จริงใจมาก ๆ พี่บี้น่ารักมาก ๆ จากเหตุการณ์อุบัติเหตุ พี่บี้ก็ยิ่งน่ารักเข้าไปอีก ให้คำแนะนำหนูเยอะมาก ๆ ในวันนั้นที่ร่วมโชว์กับพี่บี้ในวันที่หนูบาดเจ็บ

เพราะทุกคนที่ทำให้หนูมาถึงวันนี้

นอกจากเวที The Star Idol แล้ว ก็รวมถึงทุกคนรอบข้างหนูด้วย ถ้าไม่มีพี่ ๆ ทีมงานที่อยู่รอบข้างหนู ที่ช่วยเราคิดช่วยเราในหลาย ๆ อย่าง หนูว่าก็คงไม่มาถึงตรงนี้

ชีวิตที่เปลี่ยนไปหลังจากเข้ามาเป็น The Star Idol อะไรที่ได้มาและอะไรที่ต้องแลกไป

คือหนูเตรียมตัวกับมันไว้อยู่แล้ว ตั้งแต่ที่หนูคิดจะก้าวเข้ามาในวงการนี้ หนูเลือกมันตั้งแต่เด็กแล้ว แล้วหนูก็พร้อม ถ้าถามว่าชีวิตที่ต้องแลกไป คือเวลาเราไปในที่สาธารณะ เราจะไปกระโดกกระเดก ไปทำตัวเหมือนเดิม ๆ ไม่ได้ เราต้องระวังตัวมากขึ้น แต่ปกติหนูก็ไม่ค่อยออกไปไหนอยู่แล้ว ส่วนสิ่งที่ได้กลับมาก็คือพี่ ๆ แฟนคลับทุกคน มีคนรักเรามากขึ้น มีผลงานที่เราชอบทำ เหมือนหนูชอบการแสดงอะไรแบบนี้อยู่แล้ว หนูพร้อมแลกเพื่อที่จะทำตรงนี้ เพราะมันคือความสุขของหนู

สิ่งที่ทำแล้วมีความสุขที่สุด

การเป็นนักแสดง ชอบมาก แล้ววันนี้ก็ได้เป็นแล้ว หนูว่าหนูโชคดีมากเลยที่ได้รับโอกาสให้เป็นนางเอกในเรื่องแรก ดีใจที่พี่บอย (ถกลเกียรติ วีรวรรณ) ไว้ใจ สำหรับการแสดงครั้งแรกของหนู

รู้จักกับ “ดนตรี” ตั้งแต่เมื่อไร

ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ แล้ว เพราะที่บ้านพี่สาวหนูเรียนไวโอลิน หนูก็อยากเรียนตามพี่สาวบ้าง แต่คุณครูไวโอลินแนะนำให้หนูเรียนเปียโนก่อน เพราะจะได้รู้จักกับโน้ต ก็เลยเริ่มจากเปียโน พอกดให้รู้ว่าเป็นโน้ตอะไรแล้วก็ไปเล่นไวโอลินเลยค่ะ (เล่นไวโอลินไปถึงจุดไหน มีประกวดไหม – ทีมงานถาม) มีประกวดค่ะ แต่จำชื่อรายการไม่ได้ เป็นของ Trinity นี่แหละค่ะ ตอนนั้นได้เหรียญทอง (เหรียญทองเลยเหรอ – ทีมงานถาม) ใช่ค่ะ แต่ก่อนเล่นไวโอลินเก่งกว่ากีตาร์ ผลงานที่หนูเล่นไวโอลินล่าสุดก็ตอนอยู่ที่อินเดียเลย หนูไม่ได้จับไวโอลินก็ตั้งแต่ตอนนั้น ตอนนั้นไวโอลินได้ Grade 6 Trinity แต่กีตาร์คลาสสิกได้ Grad 8 Trinity

การฝึกซ้อมการเล่นดนตรีของเอินเอิน ฟาติมา

เป็นคนที่ไม่ได้ซ้อมเป็นประจำค่ะ นอกจากจะมีงานอะไรที่ต้องไปโชว์ไปเล่น ไปแข่งจริง ๆ ขอแค่หนูรู้ก่อนสัก ๓ สัปดาห์แค่นั้นพอแล้ว หนูจะรีบซ้อม ไม่ได้ซ้อมทั้งวันทั้งคืน แต่หนูจะแบ่งเวลาในการซ้อม วันละ ๒-๓ ชั่วโมง ถ้าเหลือเวลาซ้อมไม่มาก พี่ชายหนูจะบอกให้มองเป็นชั่วโมง เป็นนาที มันจะได้ดูเหลือเวลาให้ซ้อมเยอะ

ทำไมมาเรียนที่วิทยาลัยดุริยางคศิลป์

ตอนแรกหนูจะไปเรียนที่นิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่คุณพ่อบอกว่าหนูก็ชอบละครเพลงไม่ใช่เหรอ ถ้าหนูอยากเรียนการแสดงที่นิเทศจุฬาฯ ทำไมไม่เรียนที่มหิดล เรียนเอกเธียเตอร์ แล้วได้เรียนทั้งร้อง ทั้งเต้น ทั้งการแสดง ไม่ดีกว่าเหรอ หนูคิดว่าคุณพ่อหนูก็พูดถูกค่ะ หนูก็เลยมาเรียนที่นี่ และพี่สาวก็เรียนอยู่ที่นี่อยู่แล้ว เรียนธุรกิจดนตรี ปี ๓ เอกวิโอลา บางคลาสก็เรียนกับพี่สาวด้วยค่ะ

การร่วมงานกับพี่เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ ในเพลงคีรีบูนบิน

ก่อนอื่นเลยต้องบอกว่าเป็นแฟนคลับพี่เบิร์ดทั้งครอบครัวจนไปถึงอาม่าอากงเลย ตอนที่รายการโทรมาบอกเราว่าเราต้องไปเล่นกีตาร์คลาสสิกแล้วให้ศิลปินท่านหนึ่งร้องเพลงนะ เขายังไม่บอก แต่เขาบอกว่าให้หนูทาย หนูก็บอกว่าพี่บิวกิ้น (พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล) เขาก็บอกว่าไม่ใช่ แต่เขาบอกมาว่า บอใบไม้เหมือนกัน หนูก็คิดว่า พี่บี้ (สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว) อีกแล้วเหรอ หนูก็ดีใจมากเลย แต่เขากลับบอกว่า พี่เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ พอรู้เท่านั้นแหละ ครอบครัวหนูกรี๊ดกันหมดเลย เพราะว่าชอบมาก แล้วพอเจอพี่เขาตัวจริง หนูไม่เคยเป็นแบบนี้นะ หนูสั่นทุกรอบที่ซ้อมเลย ซ้อม ๑๐ รอบก็สั่น พี่เบิร์ดเป็นซูเปอร์สตาร์ขนาดนั้น หนูประทับใจมาก ๆ เลย ตอนซ้อม พี่เบิร์ดเตรียมช่อดอกไม้มาให้เรา แล้วเข้ามากอดเรา แล้วบอกเราว่ายินดีด้วยที่ได้ร่วมงานด้วยกันนะ แล้วพี่เบิร์ดให้ทุกคน แม้ว่าจะเป็นเด็กใหม่ขนาดไหน พี่เบิร์ดเทคแคร์ทุกคน

“ไม่ว่าหนูเล่นผิดขนาดไหนตอนซ้อม พี่เบิร์ดก็หันมายิ้มให้ แล้วบอกหนูว่า เก่งมาก เก่งมาก อยู่ดี”

ความสามารถทางด้านกีฬาของเอินเอิน ฟาติมา

หนูเล่นแบดมินตันมาตั้งแต่ ๘ ขวบ ก่อนหน้านั้นเรียนยิมนาสติกก่อน คือเราอยากออกกำลังกายแหละ แต่ยิมนาสติกมันต้องใช้เวลาทั้งวัน เราก็เลยคิดว่ามันทำอะไรอย่างอื่นไม่ได้ ก็เลยเปลี่ยนมาเป็นแบดมินตันที่ใช้ออกกำลังกายแทน หนูก็ไปเรียนแบดมินตันแต่ว่าเรียนได้ไม่เท่าไหร่ก็ไปอยู่ที่อินเดียแล้ว พออยู่ที่อินเดียหนูก็ไปตีเล่นกับเพื่อน ออกกำลังกายนี่แหละ คุณครูเขาก็เห็นแววแล้วก็ส่งหนูไปแข่งเป็นตัวแทนโรงเรียนเลยค่ะ หนูยังจำได้จนถึงวันนี้เลยนะพี่ตอนนั้นน่ะ มันแข่งหลายรอบมาก ๆ การแข่งขันประเภทเดี่ยว ๗ รอบได้ คือต้องชนะทุกคน จนมาได้ที่ ๒ แล้วก็ยังแข่งประเภทคู่ต่อ รุ่นไม่เกิน ๑๗ ปี ก็ได้ที่ ๑ (ไม่กล้าพูดเลยอ่ะ เดี๋ยวผิดหวังกัน) แต่หนูก็ไม่ได้เล่นนานแล้วนะคะ อย่างรายการ Super Match (EP.1 – ๑๑ มิ.ย. ๖๕) หนูเล่นคู่กับพี่ฟรอยด์ (ณัฏฐพงษ์ ชาติพงศ์) หนูเพิ่งมาเจอพี่เขาเป็นครั้งแรกก็ตอนถ่ายรายการนี้แหละ แต่ในวันนั้นสนุกมากเลยค่ะ

การแสดงครั้งแรก

ตั้งแต่ที่หนูเข้าไปออดิชันที่ตึกตอนประกวด The Star Idol เขาวงชื่อหนูไว้ว่านางเอก แต่เขาบอกหนูว่า เขาไม่รู้หรอกว่านางเอกเรื่องไหน แต่ตอนที่หนูเจ็บขาในการแข่งขัน จะมีอยู่คนหนึ่งที่ถือรองเท้า คอยตามดูแลหนู ใน VTR ที่คอยตามอาการของหนูในระหว่างการแข่งขันในรายการตอนนั้น เขาคือผู้กำกับซีรีส์เรื่องนี้ เขาแฝงตัวมา คือหนูก็ไม่รู้ หนูคิดว่าเขาเป็นผู้จัดการพี่บี้ (สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว) หรือเปล่า เขาก็บอกว่าเป็นครูสอนการแสดง ในวันนั้นนะคะ คือเขามาเล่าให้หนูฟังว่าในวันนั้นเขาเห็นความสู้ เห็นทัศนคติของหนู เหมือนว่าเขาทดสอบเราด้วยว่าเรามีพฤติกรรมอย่างไรกับทีมงานต่าง ๆ เขาบอกว่าเขาดูหมด เขายังบอกอีกว่า เอินเอินมีความเป็นซินเดอเรลล่ามาก ในซีรีส์นะ จะมีความตัวแสบ ความเป็นนักสู้ เขาออดิชันนางเอกมาเยอะมาก แต่ไม่เจอเลยสักคน แล้วเขาก็เอาไปบอกพี่บอย (ถกลเกียรติ วีรวรรณ) พี่บอยก็บอกว่า เอินเอินน่ะเหรอ ทำไม่ได้มั้ง จะทำได้ยังไงนางเอกเรื่องแรกเลยนะ น้องไม่เคยเรียนการแสดงมาก่อน ไม่เคยแสดงมาก่อนด้วย แล้วผู้กำกับก็บอกว่า เชื่อว่าเอินเอินทำได้ ของลองดูก่อน พี่บอยก็เลยยอม

MY SASSY PRINCESS เจ้าหญิง ๒๐๒๒

หนูรับบทเป็น ซินเดอเรลล่า ในซีรีส์เรื่องนี้จะไม่เหมือนซินเดอเรลล่ายุคก่อนเลย ยุคก่อน ซินเดอเรลล่าจะต้องรอความช่วยเหลือจากเจ้าชาย รอทุกอย่าง นั่งรอสวย ๆ ทำงานบ้าน ดูน่าสงสาร เป็นผู้หญิงอ่อนแอ แต่ในยุคนี้เขาเปลี่ยนหมดเลย กลายเป็นซินเดอเรลล่าที่ลุย สู้ ไม่รอความช่วยเหลือจากผู้ชายแล้ว คือเข้าหาผู้ชายเลย คือเราเป็นคนจนมาก คือมันไม่มีทางแล้วที่เราจะรวยได้ แต่ก่อนเคยมีคฤหาสน์แต่ว่าพ่อเสียชีวิต แล้วมีแม่เลี้ยงที่แบบว่าหาภาระ หาหนี้มาให้ตลอด จนแอร์ไม่มีติด โซฟาดี ๆ ไม่มีนั่ง เราก็เลยทนไม่ไหว เราก็พยายามเล่นหวยและคริปโต พยายามทำงานทุกที่ ร้านกาแฟต่าง ๆ ทำทุกอย่าง แต่ก็ไม่รวยสักที จนมาได้ความคิดที่ว่า เราจะรวยได้ต้องมีผู้ชายรวย ๆ คือไม่ได้หวังรวยแบบปานกลางด้วยนะ หวังรวยแบบหมื่นล้าน ก็เลยไปหาทางเช่าแบรนด์เนมเพื่อไปหลอกจับผู้ชายรวย ๆ แล้วมันก็จะมีอุปสรรคของตัวละคร อุ๊ย…ขอไม่สปอยล์ดีกว่า อยากให้ไปดูเอาเอง วันที่ ๕ ส.ค. นี้นะคะ ถ้าบทสัมภาษณ์นี้ออก เพื่อน ๆ คงได้ดูกันแล้ว หวังว่าจะชอบกันนะคะ

แฟนคลับ

คือตอนแรกหนูเป็นคนที่ไม่ชอบให้ใครมาตามมาอะไรแบบนี้เท่าไหร่ แต่สุดท้ายหนูหลงความน่ารักของแฟนคลับหนูไปแล้ว เขาจะคอยซื้อขนมมาให้เรา ไม่ใช่แค่ดูแลเรานะ เขาดูแลไปถึงครอบครัว ดูแลไปถึงคนรอบ ๆ ตัวเราหมดเลย รู้สึกว่าแฟนคลับเขาใจบุญเหมือนกันนะ ถ้าเกิดจะให้บอกอะไรแฟนคลับ คืออยากจะบอกให้เขาดูแลตัวเองบ้าง บางคนซื้อเสื้อผ้า ซื้อขนมแพง ๆ มาให้เรากิน แต่เขายังไม่มีเสื้อผ้าดี ๆ ใส่เลย สิ่งที่หนูอยากได้คืออยากให้เขาได้กินข้าวแบบที่เรากินด้วยเหมือนกัน

[MUSIC JOURNAL Volume 27 No. 12 | August 2022]

Attawit Sittirak

เจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดและประชาสัมพันธ์ วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล